1. Chanel No.5
น้ำหอมกลิ่นแรกของ Chanel ที่ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1921 โดยมี Ernest Beaux นักปรุงน้ำหอมชื่อดังชาวรัสเซีย ได้คิดค้นน้ำหอมออกมาทั้งหมดกว่า 80 กลิ่น เเละ Coco ได้เลือกน้ำหอมหมายเลข 5 ให้เป็นกลิ่นแรกของแบรนด์ No.5 เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในสมัยนั้น เพราะกลิ่นหอมไม่ได้มาจากกลิ่นดอกไม้ ทำให้สร้างความรู้สึกเซ็กซี่ ลึกลับ น่าค้นหา และในช่วงยุค 1950 Chanel No.5 ก็ได้รับความนิยมอย่างที่สุด เมื่อ Marilyn Monroe มาตอกย้ำภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจของ Chanel No.5 ด้วยประโยคหนึ่งที่ว่า “What do I wear in bed? Why, Chanel No.5 of course”
ขนาด 100 ml. ราคาประมาณ 6,400 บาท
2. Guerlain Shalimar
เปิดตัวตั้งแต่ปี 1925 และแตก Flanker ออกไปหลายตัวมากเช่นกัน น้ำหอมขวดนี้ผู้คิดค้นได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวความรักของจักรพรรดิ Shahjahan กลิ่นน้ำหอมจะเป็นโทนซิตรัสที่สดชื่นแบบแน่น ๆ เบสจะมีความเป็น Powdery ที่ออกทางแป้งหอมดอกไม้ย้อนยุค โดยมีไอริสเป็นตัวชูโรง ตีคู่ไปกับกลิ่นมะลิ กุหลาบ และพิมเสน ช่วงท้ายมีความเป็นวานิลลา โดยจะมีกลิ่น Musk ยางไม้โทนหวาน แม้ว่ากลิ่นอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่ก็เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึก Vintage และยังคงได้รับความนิยมอยู่นั่นเอง
ขนาด 30 ml. ราคาประมาณ 6,500 บาท
3. Miss Dior Blooming Bouquet
Miss Dior ขวดแรกถูกผลิตขึ้นมาในปี 1947 ทุกวันนี้ Miss Dior มีแตก Flanker ออกมากมายหลายตัวด้วยกันเกือบ ๆ 20 กลิ่นน้ำหอม Miss Dior เป็นกลิ่นที่มีการปรับปรุงกลิ่นบ่อยมาก ๆ แบรนด์นึง ถ้าใครไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ Dior ก็คงมึนงงกันแน่นอน เราเลยขอพูดถึงแค่กลิ่นยอดฮิต คือเจ้าตัว Blooming Bouquet ที่ออกมาเอาใจชาวเอเชียโดยเฉพาะ ด้วยเนื้อกลิ่นที่ใส สดชื่น จึงเหมาะกับอากาศแถบบ้านเรามากกว่า เนื้อกลิ่นมีคุณภาพตามสไตล์ Dior กลิ่นเปิดเป็นกลิ่นส้มแมนดาริน สดชื่น และ Fruity เล็กน้อย ตัวกลิ่นมีความเย็น ตามด้วยกลิ่นของดอก Peony ที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ โดยกลิ่นน้ำหอมนั้นแม้จะออกทาง Feminine ชัดเจน แต่ก็มีความสดชื่นและหวานอ่อน ๆ กำลังดี ถือเป็นน้ำหอม Floral Fruity ที่เหมาะกับอากาศบ้านเรามาก ๆ กลิ่นหนึ่ง
ขนาด 100 ml. ราคาประมาณ 4,900 บาท
4. Chloé Eau De Parfum
Chloé Eau De Parfum เป็นน้ำหอมที่ผลิตขึ้นมาในปี 2008 และยังเป็นน้ำหอมที่ขายดีที่สุดจนถึงปัจจุบันนี้ แม้ทางแบรนด์จะออกรุ่นอื่น ๆ ตามมา แต่ส่วนมากก็ยังคงหา Chloé Eau De Parfum โบว์ครีมมาใช้กันอยู่อย่างไม่มีทีท่าจะเบาลงเลย สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Chloé โด่งดัง เป็นเพราะเนื้อกลิ่นน้ำหอมที่สว่างสดใส บางเบา และหรูหรา จัดเป็นน้ำหอมที่โดดเด่นด้วยกลิ่นกุหลาบกับกลิ่น Floral โทนสดใสต่าง ๆ และกลิ่นผลไม้อย่างลิ้นจี่ที่ให้กลิ่นหวานอมเปรี้ยว เลยทำให้ Chloé Eau De Parfum เป็นน้ำหอมที่หรูหรา แต่เข้าถึงได้ง่าย
ขนาด 75 ml. ราคาประมาณ 4,900 บาท
5. Creed Green Irish Tweed
ถือว่าเป็นแบรนด์ Niche ระดับตำนานกันเลยสำหรับ Creed เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่มีมานานกว่า 250 ปี มีประวัติที่ยาวนานมาก ๆ แบรนด์นึง Creed Green Irish Tweed ผลิตขึ้นในปี 1985 เป็นกลิ่นประเภท Woody, Floral, Musk และยังเป็นน้ำหอมต้นแบบที่ทำให้ Davidoff Cool Water ขายดีติดอันดับ Top 10 เพราะมี Pierre Bourbon คนเดียวกับที่คิดค้น Davidoff Cool Water เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนั่นเอง เพียงแต่ Creed Green Irish Tweed มีความชัดเจนของกลิ่นน้ำหอมและคุณภาพของวัตถุดิบที่ดีกว่า และราคาที่ค่อนข้างสูงกว่า เหมาะสำหรับใครที่อยากลอง Niche Perfume และความคลาสสิก ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เป็นน้ำหอมที่ค่อนข้าง Unisex พอสมควร ใช้ง่าย และเหมาะกับทุกโอกาส
ขนาด 100 ml. ราคาประมาณ 10,100 บาท
6. Jo Malone London
Jo Malone London เป็นน้ำหอมแบรนด์เดียวที่มีเอกลักษณ์ ให้เราสามารถมิกซ์กลิ่นน้ำหอมและสร้างกลิ่นของตัวเองให้ไม่เหมือนใคร ด้วยกลิ่นที่มีให้เลือกเยอะและการนำมา Combining กันจึงกลายเป็นจุดขายของน้ำหอมแบรนด์นี้ไปแล้ว Jo Malone London เปิดตัวในปี 1994 ถึงจะเปิดตัวได้ไม่นาน แต่น้ำหอมของ Jo Malone London ค่อนข้างใช้ง่าย กลิ่นไม่ฉุน เพราะมีส่วนผสมของหัวน้ำหอม Eau de Cologne สำหรับคนที่ต้องการกลิ่นน้ำหอมที่ติดทนนาน น้ำหอมของ Jo Malone London อาจจะไม่เหมาะ สำหรับคนที่อยากได้กลิ่นน้ำหอมที่ไม่เหมือนใครและเป็นคนขี้เบื่อ Jo Malone London จึงเป็นน้ำหอมที่คู่ควรแก่การหามาใช้มากกว่าหนึ่งกลิ่นแน่นอน
ขนาด 100 ml. ราคาประมาณ 5,200 บาท
7. Lancôme Miracle
Lancôme Miracle น้ำหอมขวดสีชมพูที่มีกลิ่นแนว Floral Spicy ผลิตขึ้นในปี 2000 ที่รวมความหอมหวานของลิ้นจี่ ผสมกับดอกแมคโนเลียกลมกลืนไปกับเครื่องเทศบางเบา ให้โทน Floral แบบ Spicy อ่อน ๆ กำลังดี กลิ่นมะลิชัดในระดับหนึ่ง มีความสดชื่นจาก Musk และความอบอุ่นจาก Amber ให้กลิ่นที่นุ่มจมูก ใส ๆ ไม่หวานแน่นจนอึดอัด
ขนาด 100 ml. ราคาประมาณ 4,200 บาท
8. Kenzo Flower by Kenzo
ถือว่าเป็นน้ำหอมกลิ่นที่ขายดีและคลาสสิกของแบรนด์ Kenzo ไปแล้ว น้ำหอมกลิ่นนี้ถูกผลิตขึ้นในปี 2000 ด้วยกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ให้กลิ่นโทน Floral ใสคม กลิ่นสไตล์แป้งอ่อน ๆ ช่วงเบสเป็นกลิ่น Musk และกลิ่นโทน Woody อ่อน ๆ ที่สำคัญ กลิ่นไม่หวาน แถมยังออกแนวสดชื่น ใส ๆ แม้ว่าจะให้ความรู้สึก Woody ก็ตาม เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ไม่ฉุนจนเกินไป เหมาะสำหรับ Everylook ในวันสบาย ๆ
ขนาด 100 ml. ราคาประมาณ 5,100 บาท
9. Estée Lauder Modern Muse Eau De Parfum
Estée Lauder Modern Muse เป็นน้ำหอมที่ไม่ค่อยสื่อถึงความ Modern สมชื่อเท่าไหร่แต่ให้อารมณ์ของความเป็น Feminine ที่ผสมผสานกับความสง่างามแบบที่ไม่เรียบง่ายจนเกินไป กลิ่นเปิดจะได้กลิ่นของส้ม หลังจากนั้นจะเป็นกลิ่นมะลิ ให้กลิ่นที่หอมหวาน ตามมาด้วยกลิ่นของ พิมเสน วานิลลา และมัสก์ จะเริ่มชัดขึ้นและหอมหวานแบบอบอุ่น และกลิ่นที่เหลือติดผิวจะเป็นกลิ่นของลิลลี่ บาง ๆ เหมาะสำหรับอากาศที่เย็นสบาย ด้วยความที่เป็น EDP กลิ่นน้ำหอมจะฉุนและแน่น ถ้าจะใช้อาจจะต้องฉีดในปริมาณสเปรย์ที่เหมาะสม
ขนาด 100 ml. ราคาประมาณ 4,900 บาท
10. Viktor & Rolf Flowerbomb
ถูกผลิตขึ้นมาในปี 2005 แม้ว่าจะผลิตได้ไม่นานแต่กลิ่นน้ำหอมนี้เป็นกลิ่นที่ยอดฮิตของสาว ๆ พอสมควร ทำให้น้ำหอมรุ่นนี้โด่งดังและสร้างชื่อให้กับแบรนด์ Viktor & Rolf สิ่งที่ทำให้ Flowerbomb ประสบความสำเร็จน่าจะเป็นความหวานที่ไม่เลี่ยน กลิ่นแนวโทน Creamy แม้จะเป็นกลิ่นดอกไม้ แต่กลิ่นหลักของน้ำหอมขวดนี้คือ Oriental ทำให้รู้สึกหรูหรา อบอุ่น และดูดีมีระดับ Flowerbomb เด่นด้วยกลิ่นของมะลิ กล้วยไม้ กุหลาบ และยังถูกห้อมล้อมไปด้วยกลิ่นจำพวก Amber กลิ่นหวานแบบขนม ๆ หน่อย ไม่ Floral จ๋าเหมือนชื่อเลย เหมาะกับฉีดในห้องแอร์ หรือใส่ไปออกเดทก็เหมาะ
ขนาด 100 ml. ราคาประมาณ 4,200 บาท
ปัจจุบันน้ำหอมเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนเราทุกวัน ทุกเวลา เพราะกลิ่นน้ำหอมเป็นสิ่งที่แสดงความเป็นตัวคุณ รสนิยม อารมณ์ และยังสร้างแรงดึงดูดอันน่าประทับใจให้เพศตรงข้ามได้ดีอีกด้วยค่ะ ทุกวันนี้น้ำหอมกลายเป็น 1 ในไอเท็มที่จะบ่งบอกสไตล์ รสนิยม และความเป็นตัวเองได้ เพราะฉะนั้นเราหวังว่าเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำหอมและกลิ่นน้ำหอมที่เอามาฝาก จะช่วยให้ทุกคนเลือกซื้อน้ำหอมที่เหมาะกับบุคลิกและโอกาสได้ง่ายขึ้นนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น